กีฬา

สิ้น “ซ้ายพญายม” เวนิช บขส. อดีตแชมป์โลกชาวไทยคนที่ 4 ผู้ยิ่งใหญ่ เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 73 ปี

%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b9%89%e0%b8%99-%e0%b8%8b%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%9e%e0%b8%8d%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%a1-%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%8a-%e0%b8%9a

เวนิช บ.ข.ส. อดีตแชมป์โลกชาวไทย หรือ นายประเวศ พลเชียงขวาง เสียชีวิตแล้วอย่างสงบเมื่อคืนวันที่ 24 ส.ค. ที่ผ่านมา ด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ที่บ้านดอนนางหงส์ อ.ธาตุพนม ด้วยวัย 73 ปี โดย เวนิช เป็นอดีตแชมป์โลกคนที่ 4 ของไทย ในรุ่นฟลายเวต (112 ปอนด์) สภามวยโลก (WBC) เจ้าของฉายา “ซ้ายพญายม”

ช่วงบั้นปลายชีวิตตกอับ เวนิช สิ้นเนื้อประดาตัว รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุประทังชีวิตแค่เดือนละ 600 บาท หลังเมื่อกว่า 40 ปีก่อนมีชีวิตรุ่งโรจน์ทั้งชื่อเสียง และเงินทอง ประกอบอาชีพทำนาเลี้ยงชีพ อาศัยอยู่กับภรรยาคู่ชีวิต นางพานทอง วงค์ตาหล้า อายุ 64 ปี ที่บ้านเลขที่ 134 บ้านต้นแหน ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม

ก่อนเสียชีวิต เวนิช เคยเปิดเผยนถึงเรื่องราวชีวิตในอดีตว่า ครอบครัวสมัยเด็กมีฐานะยากจน อาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ด้วยความที่ชอบชกมวยไทยมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา จึงอยากช่วยทางบ้านด้วย เลยเดินสายรับจ้างชกมวยไทยตามงานวัด

ประกอบกับมีพี่ชายทำค่ายมวยชื่อ ค่ายพลายทอง จึงใช้ชื่อว่า “นิดเดียว พลายทอง” ชกมวยไทยจนกระทั่งได้ไต่เต้าขึ้นไปชกมวยไทยที่กรุงเทพฯ เวลานั้นเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคนชักชวนให้ไปอยู่กับค่ายมวยชื่อดัง หรือค่ายมวย บ.ข.ส. ที่กรุงเทพฯ ย้ายไปกินนอนและชกมวยกับค่าย บ.ข.ส. เริ่มต้นเป็นมวยแทนก่อนได้ขึ้นชกแบบเต็มตัว ใช้ชื่อใหม่ว่า “เวนิส บ.ข.ส.” ที่เวทีมวยวิกราชดำเนิน และด้วยการชกที่มีพลังหมัดซ้ายที่หนักหน่วง ได้รับโอกาสเบนเข็มเข้าชกมวยสากลเป็นครั้งแรก ในรายการมวยพ็อปท็อป เมื่อเดือนพฤษภาคม 2511 แรกๆ มีค่าตัวตกไฟต์ละ 1,500 บาท ทำให้มีกำลังใจในการฝึกซ้อมและชกมวย

มีโอกาสชิงแชมป์มวยสากลรุ่นฟลายเวต ประเทศไทย ที่เวทีลุมพินี เมื่อปี 2513 ก่อนจะได้เป็นแชมป์มวยโลกรุ่นฟลายเวต ของสภามวยโลกช่วงปี 2515 รวมทั้งยังเคยได้แชมป์รุ่นแบนตั้มเวต ประเทศไทย ที่เวทีราชดำเนิน ปี 2522 ซึ่งในสมัยโด่งดังเคยได้รับค่าตัวสูงสุดประมาณ 1.2 ล้านบาท ซึ่ง เวนิช บอกว่า ชีวิตเวลานั้นรุ่งเรืองมาก ไม่แตกต่างจากนักมวยชื่อดัง และดาราดัง จนมีวงการละครมาทาบทามไปแสดงละคร

เมื่อผ่านช่วงสูงสุด ก็ต้องเจอกับช่วงขาลง สภาพร่างกายเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา ก่อนตัดสินใจแขวนนวมไปเมื่อตอนอายุประมาณ 32 ปี หันไปเป็นพนักงานต้อนรับของบริษัทขนส่ง ทำงานได้ 10 ปี ลาออกกลับบ้านที่ จ.นครพนม และมาเปิดบริษัทจัดหาแรงงานไปต่างประเทศ พร้อมกับตั้งครอบครัวมีลูก 2 คน แต่เปิดบริษัทได้ 5 ปี กิจการขาดทุนก่อนปิดตัวเองไป ทั้งบ้านและที่ดินถูกธนาคารยึด รวมเงินทองที่สูญไปในครั้งนี้กว่า 20 ล้านบาท กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว และยังเลิกรากับภรรยา โดยลูกทั้ง 2 คน ไปอยู่กับอดีตภรรยาที่ต่างประเทศ

0 Comments
Share

Admin

Reply your comment

Your email address will not be published. Required fields are marked*