เซ็บเดิร์ม เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่มักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น หนังศีรษะ ใบหน้า หน้าอก เป็นต้น เซ็บเดิร์มสามารถเกิดขึ้นได้บ่อยในกลุ่มทารกและผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 50 ปี แต่ก็สามารถพบในคนทุกช่วงวัยเช่นกัน นอกจากนี้โรคนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และมักเกิดขึ้นในคนที่มีผิวมัน ผู้ที่เป็นเซ็บเดิร์มจะมีผิวหนังลอกเป็นขุย ผื่นแดง และมีอาการคัน แม้จะไม่ใช่โรคอันตรายแต่สามารถสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ที่เป็นได้
สาเหตุของการเกิดโรค
โรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง เช่น การเจริญเติบโตของยีนส์ชนิด Malassezia ที่อยู่บนผิวหนัง การทำงานผิดปกติของต่อมไขมัน รวมถึงปัจจัยด้านภูมิคุ้มกัน ความเครียด หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ไปกระตุ้นให้เกิดโรคได้
อาการที่พบได้บ่อย
•ผิวหนังอักเสบลอกเป็นขุย มีลักษะสีเหลืองหรือสีขาว
•อาจมีรังแคหนาที่ศีรษะ
•มีอาการผื่นแดงและคันจากผิวหนังอักเสบ
บริเวณที่มักเกิดโรค
•ศีรษะและใบหน้า
•คิ้วและระหว่างคิ้ว
•ร่องจมูก
•หูและหลังหู
•หน้าอกและหลัง
ปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นได้
•ความเครียด ความเครียดทางจิตใจและร่างกายสามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ซึ่งมีผลทำให้อาการเซ็บเดิร์มแย่ลงได้ โดยเฉพาะเมื่อระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของยีสต์บนผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• การอดนอน การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและทำให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเต็มที่ การอดนอนอาจทำให้อาการของโรคเซ็บเดิร์มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว
• โรคทางกายบางอย่าง โรคทางระบบประสาท เช่น พาร์กินสัน หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างเช่น HIV มีความเชื่อมโยงกับโรคเซ็บเดิร์ม เนื่องจากทั้งสองโรคทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่ดีพอที่จะควบคุมการเจริญเติบโตของยีสต์
• ฤดูหนาว ในช่วงฤดูหนาวอากาศที่แห้งและเย็นอาจทำให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น ซึ่งส่งผลให้อาการลอกเป็นขุยและผื่นแดงรุนแรงขึ้น นอกจากนี้การใส่เสื้อผ้าหนาอาจทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น
• แสงแดด ในบางคนแสงแดดอาจกระตุ้นให้อาการเซ็บเดิร์มแย่ลงได้ เนื่องจากแสง UV สามารถทำให้ผิวระคายเคืองและแห้ง ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามในบางกรณี แสงแดดอาจช่วยบรรเทาอาการได้ ดังนั้นการตอบสนองต่อแสงแดดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
• ยาบางชนิด เช่น ยาที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน หรือยาต้านอักเสบบางชนิด อาจทำให้อาการเซ็บเดิร์มแย่ลง หรือเกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังเพิ่มขึ้น ควรปรึกษาแพทย์หากพบว่าอาการแย่ลงหลังการใช้ยา
วิธีการรักษา
เซ็บเดิร์มเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีวิธีรักษาและบรรเทาอาการได้ดังนี้
1.ใช้แชมพูหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของการลดการอักเสบ เช่น เซลิเนียมซัลไฟด์ (Selenium Sulfide) หรือคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ซึ่งช่วยลดการเจริญเติบโตของยีสต์
2.ครีมสเตียรอยด์ ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบสำหรับการควบคุมอาการระคายเคืองในบริเวณผิวที่เป็นมาก
3.การดูแลผิวที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิวและรักษาความสะอาดของหนังศีรษะและผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ
ข้อควรระวัง
•ควรหลีกเลี่ยงการขีดข่วนหรือเกาบริเวณที่จะทำให้เกิดการระคายเคือง
•ควรสระผมอย่างเบามือ หรือไม่ขยี้แรงๆ
•หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพราะอาจทำให้เป็นมากขึ้น
•ทายาสเตียรอยด์อ่อนๆ หรือคีโตโคนาโซลหรือครีมอื่นตามคำแนะนำของแพทย์
พญ.มัทนา ภาติยะศิขัณฑ์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมทั่วไปและผิวหนัง
แผนกความงามและผิวหนัง โรงพยาบาลบางปะกอกสมุทรปราการ โทร. 0-2109-3222 ต่อ 10250-10251