“อลงกรณ์” ชี้ 3 สาเหตุหลักทำทะเลวิกฤติ เผยไทยร่วมสหประชาชาติดันกฎหมายปกป้องมหาสมุทรตั้งเป้าฉลองวันทะเลโลกปีนี้

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์โพสต์เฟสบุ้ควันนี้.ซึ่งตรงกับวาระวันมหาสมุทรโลกหรือวันทะเลโลกn(World Ocean Day 8 มิถุนายน 2568)nภายใต้หัวข้อเรื่อง “ท้องทะเลและมหาสมุทรของเรา : ภารกิจดูแลทะเลที่หล่อเลี้ยงเรา (Sustaining What Sustains Us)“ซึ่งเป็นข้อเขียนที่น่าสนใจปควรค่าแก่การเผยแพร่ต่อสาธารณชนในวงกว้าง ดังปรากฏข้อความดังนี้
บทความในวาระวันมหาสมุทรโลกหรือวันทะเลโลกb(World Ocean Day2025)

“ท้องทะเลและมหาสมุทรของเรา : ภารกิจดูแลทะเลที่หล่อเลี้ยงเรา (Sustaining What Sustains Us)”
โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์
8 มิถุนายน 2568
จุดเริ่มต้นวันทะเลโลก
เกิดจากข้อริเริ่มของแคนาดาในปี 2535 ระหว่างการประชุม Earth Summit ณ เมืองริโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล เมื่อครั้งผมเป็น ส.ส.เพชรบุรีสมัยแรก จากนั้นอีก 17 ปี สหประชาชาติได้รับรองอย่างเป็นทางการในปี 2552 โดยกำหนดให้วันที่ 8 มิถุนายนเป็นวันทะเลโลกสากลเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการดูแลและอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งมหาสมุทรไปยังประชาชนทั่วโลก ผ่านเครือข่ายความร่วมมือต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก พร้อมกันนั้นก็ยังได้จัดกิจกรรมรณรงค์และมีกิจกรรมอื่น ๆ ร่วมกับองค์กรต่าง ๆ เช่น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ สวนสัตว์ โรงเรียน มหาวิทยาลัย และองค์กรอนุรักษ์ในเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกให้ทุกคนร่วมมือกันใส่ใจดูแล และอนุรักษ์ท้องทะเลให้ยังคงอุดมสมบูรณ์และสวยงาม
สำหรับปี 2568 ธีมหลักคือ “WONDER: Sustaining What Sustains Us” (ดูแลทะเลที่หล่อเลี้ยงเรา) ซึ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับทะเลในมิติวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการดำรงชีวิต
ภัยคุกคามต่อท้องทะเลมหาสมุทร
ทุกหยดน้ำในมหาสมุทรคือสายเลือดที่หล่อเลี้ยงโลกมีพื้นที่ครอบคลุม 71%ของ/พื้นผิวโลก เป็นแหล่งผลิตออกซิเจนกว่า 50%และเป็นแหล่งห่วงโซ่อาหารสำคัญที่สุดของโลกกำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา

1.ขยะพลาสติก ทุกปีมีขยะพลาสติกกว่า 8 ล้านตันไหลลงสู่ทะเล โดยไทยติดอันดับ 10 ประเทศที่ปล่อยขยะพลาสติกสู่ทะเลมากที่สุด ผลกระทบร้ายแรงเห็นชัดจากสัตว์ทะเลกว่า 1 ล้านตัวตายต่อปี เนื่องจากกินขยะพลาสติกเข้าไป เช่น เต่าทะเลที่เข้าใจผิดว่าเป็นแมงกะพรุน หรือวาฬที่ตายเพราะทางเดินอาหารอุดตัน
2.การประมงเกินขนาด 30% ของแหล่งประมงโลกถูกใช้จนเกินขีดจำกัด ส่วน 60% อยู่ในภาวะถูกใช้เต็มที่ ส่งผลให้ประชากรสัตว์น้ำลดฮวบ เช่น ฉลามเสือดาวที่ใกล้สูญพันธุ์
3.มหาสมุทรกำลังป่วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้วทำให้ปะการังในไทยกว่า 80% เสี่ยงฟอกขาวจากน้ำทะเลอุ่นขึ้น ส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และทำลายแหล่งวางไข่ของสัตว์น้ำ
ทะเลของเรา โลกของเรา
ความสำเร็จแท้จริงของการอนุรักษ์และพัฒนาทะเลอย่างยั่งยืนอยู่ที่หน้าที่และความรับผิดชอบของเราทุกคนด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพียงเราเริ่มก็จะเกิดคลื่นเล็กๆที่รวมพลังกลายเป็นกระแสเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ได้
1.ลดขยะพลาสติกครั้งเดียวทิ้ง ใช้ถุงผ้า แก้วน้ำส่วนตัว และหลีกเลี่ยงโฟมซึ่งเป็นขยะยอดฮิตในทะเลไทย
2.ท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ ไม่เก็บเปลือกหอยและปะการัง ไม่ทิ้งขยะชายหาด และไม่จับต้องสัตว์ทะเลขณะดำน้ำ
3.เลือกอาหารทะเลที่ยั่งยืน มองหาเครื่องหมาย MSC (Marine Stewardship Council)และ ASC (AQUACULTURE STEWARDSHIP COUNCIL)บนผลิตภัณฑ์ เพื่อสนับสนุนการประมงอย่างรับผิดชอบ
4.มีส่วนร่วมในกิจกรรมอนุรักษ์ ปลูกปะการังปลูกป่าชายเลนปลูกหญ้าทะเลกับโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศ
5.ส่งต่อความรู้สู่รุ่นใหม่ สอนเด็กๆ เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทะเลตัวอย่างเช่นหลักสูตร “Saltwater Schools”(ออสเตรเลีย) และ “Te Kawa O Tangaroa” (นิวซีแลนด์)
ไทยร่วมโลกดูแลทะเลมหาสมุทร
ประเทศไทยไม่ได้เป็น “ผู้ตาม” ในเวทีโลกแต่มีบทบาทเชิงรุกทั้งในอาเซียนและประเด็นสิ่งแวดล้อมของโลกภายใต้วิสัยทัศน์และนโยบายของรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน)โดยเฉพาะการร่วมมือระดับพหุภาคี เช่น การประชุม UN Ocean Conference 2025 ที่ฝรั่งเศสในการผลักดัน “สนธิสัญญา BBNJ”ให้บรรลุความสำเร็จภายในปีนี้พร้อมเปิดตัว “พันธบัตรสีน้ำเงิน” (Blue Bonds)ระดมทุนอนุรักษ์มหาสมุทร ที่สะท้อนความรับผิดชอบต่อระบบนิเวศข้ามพรมแดน

สำหรับสนธิสัญญาBBNJ (Agreement under the United Nations Convention on the Law of the Sea on the Conservation and Sustainable Use of Marine Biological Diversity of Areas beyond National Jurisdiction) เป็นสนธิสัญญาสากลว่าด้วยการปกป้องระบบนิเวศทะเลหลวงโดยเน้นการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนตามหลัก “มรดกร่วมกันของมนุษยชาติ” (Common Heritage of Humankind)
สนธิสัญญานี้จะปกป้องทะเลหลวง ครอบคลุม 2 ใน 3 ของมหาสมุทรโลก(พื้นที่นอกเขตอำนาจรัฐ) ซึ่งปัจจุบันมีเพียง 1% ที่ได้รับการคุ้มครองเต็มที่ โดยมุ่งสร้างกรอบกฎหมายเพื่อ
1.จัดตั้งพื้นที่คุ้มครองทางทะเล (MPAs)ในทะเลหลวง
2.แบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรพันธุกรรมทางทะเลอย่างเท่าเทียม
3.ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อนดำเนินกิจกรรมเช่น การทำเหมืองใต้ทะเลลึก
4.ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ประเทศกำลังพัฒนา
5.สนับสนุนเป้าหมายโลกให้บรรลุเป้า 30×30 (ปกป้อง 30% ของมหาสมุทรและพื้นดินภายในปี 2030) ตามกรอบความหลากหลายทางชีวภาพคุนหมิง-มอนทรีออล
ทั้งนี้สถานะความตกลงล่าสุด (ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2025)
มีประเทศที่ลงนามแล้ว 116 ประเทศ
มีประเทศที่ให้สัตยาบันแล้ว 32 ประเทศ
โดยประเทศไทยลงนามเมื่อ 17 เมษายน 2025
สรุป
ทะเลไม่ใช่เพียงทิวทัศน์งดงามแต่คือ “อนาคตของทุกชีวิตและโลกใบนี้”ที่เราต้องร่วมขับเคลื่อนการอนุรักษ์ทะเลและทรัพยาการธรรมชาติแล้วส่งต่อท้องทะเลและมหาสมุทรให้รุ่นลูกรุ่นหลานอย่างยั่งยืนตลอดไป.