หลายคนอาจเคยรู้สึกเจ็บหรือบวมบริเวณเหงือก โดยเฉพาะเวลาที่แปรงฟันหรือเคี้ยวอาหาร อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของ “เหงือกอักเสบ” ซึ่งหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจลุกลามจนกลายเป็นโรคปริทันต์ ส่งผลให้ฟันโยกหรือสูญเสียฟันได้ในที่สุด
สาเหตุที่ทำให้เหงือกบวมและเหงือกอักเสบ
1. การทำความสะอาดช่องปากไม่ทั่วถึง
คราบพลัคและเศษอาหารที่ตกค้างบริเวณขอบเหงือกจะสะสมจนกลายเป็นหินปูน ทำให้เหงือกอักเสบ บวม และมีเลือดออกง่าย
2. ภาวะปากแห้งหรือน้ำลายหลั่งน้อยกว่าปกติ
น้ำลายมีหน้าที่ช่วยชะล้างแบคทีเรียในช่องปาก หากน้ำลายลดลงจะทำให้เชื้อแบคทีเรียสะสมมากขึ้น จนเกิดการอักเสบของเหงือกได้
3. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ในช่วงตั้งครรภ์ หรือช่วงมีประจำเดือน ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งอาจทำให้เหงือกไวต่อการอักเสบมากขึ้น
4. การใช้ยาบางประเภท
เช่น ยากันชัก หรือยาที่มีผลต่อการหลั่งน้ำลาย อาจทำให้เหงือกบวม หรือน้ำลายลดลง ส่งผลให้แบคทีเรียสะสมในช่องปากได้ง่ายขึ้น
วิธีดูแลและป้องกันเหงือกอักเสบ
- แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันทุกวัน
- พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำลาย
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และลดการรับประทานของหวาน
- หากมีอาการเหงือกบวม เจ็บ หรือมีเลือดออก ควรรีบพบทันตแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
สรุป
เหงือกบวมหรือเหงือกอักเสบอาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่แท้จริงแล้วเป็นสัญญาณเตือนสุขภาพช่องปากที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากปล่อยไว้นานอาจส่งผลต่อสุขภาพฟันและช่องปากในระยะยาวได้ การดูแลช่องปากอย่างสม่ำเสมอ และพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพเป็นประจำ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันปัญหาเหล่านี้อย่างได้ผล
ทพญ.ชมพูนุช เนื้อน้อย
ทันตแพทย์ด้านทันตกรรมทั่วไป
แผนกทันตกรรม โรงพยาบาลบางปะกอกสมุทรปราการ โทร.0-2109-3222 ต่อ 10310 , 10311
