ข่าวประชาสัมพันธ์

17 ปีท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เร่งเดินหน้าขยายศักยภาพรับอุตสาหกรรมการบิน ท่องเที่ยวเติบโต

17-%e0%b8%9b%e0%b8%b5%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%93%e0%b8%a0%e0%b8%b9

ย้ำความมุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นประตูต้อนรับนักเดินทางจากทั่วโลกด้วยมาตรฐานระดับสากล เตรียมเปิดพื้นที่บริการเพิ่ม ลุยลงทุนเมกะโปรเจ็กต์และเทคโนโลยีอำนวยความสะดวก ควบคู่การทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนำร่องกรีนแอร์พอร์ตแห่งแรกของไทย

นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 กันยายน 2566 ที่จะถึงนี้จะเป็นวันครบรอบ 17 ปี การดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่ท่าอากาศยานกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังการเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 เป็นเวลาเกือบ 3 ปี ซึ่งใน 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565 – สิงหาคม 2566) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 2565 ทสภ. มีเที่ยวบินที่ทำการบินรวมทั้งสิ้น 268,477 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.4 มีผู้โดยสารใช้บริการรวมทั้งสิ้น 44.40 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 153.4 ทำให้เมื่อนับรวมตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2549 รวมระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา ทสภ. ได้ต้อนรับและให้บริการผู้โดยสารจากทั่วโลกแล้วทั้งสิ้น 756.47 ล้านคน ด้วยเที่ยวบินรวม 4.74 ล้านเที่ยวบิน และให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศรวมทั้งสิ้น 20.95 ล้านตัน

เพื่อรองรับการเติบโตพร้อมกับการก้าวสู่ปีที่ 18 ทสภ. ได้มีแผนงานทั้งในส่วนของการขยายพื้นที่ให้บริการ ลงทุนใหม่ในโครงสร้างพื้นฐานหลักของท่าอากาศยาน ตลอดจนเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของการเปิดพื้นที่บริการใหม่นั้น ในวันที่ 28 กันยายน 2566 ทสภ. จะเปิดให้บริการอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 หรือ อาคาร SAT-1 ในรูปแบบ Soft Opening พร้อมประเมินผลการดำเนินงานเป็นระยะ
ก่อนพิจารณาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบก่อนสิ้นปี 2566 ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของ ทสภ. จาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี

พร้อมกับการเปิดให้บริการอาคารเทียบเครื่องบินรองแห่งใหม่นี้ ทสภ. ได้นำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ในการจัดการกับกระเป๋าสัมภาระ Check-in โดยติดตั้งระบบ Individual Carrier System (ICS) ซึ่งเป็นระบบขนส่งสัมภาระความเร็วสูงเชื่อมต่อระหว่างอาคารผู้โดยสารหลัก (MTB) กับอาคาร SAT-1 มีจุดเด่นสามารถติดตามกระเป๋าสัมภาระที่มีความแม่นยำสูง ลดปัญหากระเป๋าสัมภาระเสียหายในขั้นตอนการลำเลียงขึ้นอากาศยานได้

นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ทสภ. ยังอยู่ระหว่างดำเนินโครงการขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาเพิ่มศักยภาพ
การรองรับเที่ยวบินได้มากขึ้นในระยะต่อไป คือโครงการก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) เส้นที่ 3 ซึ่งตามแผนงานมีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนกรกฎาคม 2567 และสนับสนุนให้ ทสภ. สามารถรองรับเที่ยวบินได้เพิ่มขึ้นเป็น 94 เที่ยวบิน
ต่อชั่วโมง จากปัจจุบันที่มีรันเวย์ 2 เส้น สามารถรองรับได้ 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง

สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลัก ด้านทิศตะวันออก (East Expansion)
ซึ่งจะขยายศักยภาพการรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 15 ล้านคนต่อปี ด้วยการเพิ่มพื้นที่ 66,000 ตารางเมตร สถานะปัจจุบันได้ผ่านการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ในระหว่างการปรับแบบให้
สอดคล้องกับบริบทด้านการบินในปัจจุบัน คาดว่าจะเปิดประมูลโครงการฯ ต้นปี 2567 นี้

ทางด้านบริการในพื้นที่เขตปลอดอากร ทสภ. ได้ดำเนินการพัฒนาระบบบริการต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าทั้งในและระหว่างประเทศ โดยมีการนำระบบการจัดการข้อมูลในเขตปลอดอากร (Free zone Data Management System: FDMS) ซึ่งเป็นระบบที่ควบคุม ติดตาม ตรวจสอบ
ความเคลื่อนไหวของสินค้ามาใช้ในการบริหารจัดการและรายงานความเคลื่อนไหวของสินค้าภายในพื้นที่เขตปลอดอากร โดยผู้เกี่ยวข้องสามารถลงทะเบียนจองคิวรับ – ส่ง สินค้าผ่านทางเว็บไซต์ https://ezcargo.airportthai.co.th
และสามารถตรวจสอบคิวรับ-ส่งสินค้าได้ผ่านช่องทาง Mobile Application (EZ Cargo by AOT)

นอกจากนี้ ทสภ. ได้ติดตั้งระบบบริหารจัดการและจัดเก็บค่าบริการจอดรถ AOT Parking Management System (AOT PMS) ประกอบด้วยระบบจัดเก็บค่าบริการจอดรถยนต์แบบอัตโนมัติ (Auto Pay) ณ อาคารจอดรถยนต์โซน 2 และโซน 3 ที่ผู้ใช้บริการสามารถเลือกชำระค่าบริการด้วยเงินสดหรือสแกน QR Code ผ่าน Application (AOT Smart Carpark) นอกจากนี้ใน Application สามารถแสดงจำนวนช่องจอดแบบ Real Time และสามารถค้นหาตำแหน่งที่จอดรถของผู้ใช้บริการได้ (Finding Car) โดยขณะนี้ระบบทั้งหมดอยู่ระหว่างการทดสอบระบบฯ คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปลายปี 2566

นายกิตติพงศ์ กล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากการเดินหน้าขยายการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ แล้ว
ทสภ. ยังให้ความสำคัญกับการประกอบธุรกิจควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยได้เป็นท่าอากาศยานต้นแบบ
ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Airport) แห่งแรกในประเทศไทย จากโครงการระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ที่อาคารผู้โดยสาร กำลังการผลิตขนาด 4.408 เมกะวัตต์
เริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2566 เป็นต้นมา ซึ่งนอกจากจะช่วยให้มีการใช้พลังงานจาก
เเสงอาทิตย์เเล้ว แผงโซลาร์เซลล์ยังช่วยให้ความร้อนภายในอาคารผู้โดยสารลดลงมากกว่า 7 องศา ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 3,600 ตันต่อปี และในระยะต่อไปจะดำเนินการติดตั้งโซลาร์เซลล์อาคารอื่นๆ
ภายในท่าอากาศยาน รวมถึง Floating Solar บนพื้นน้ำในเขต ทสภ. ด้วย

ตลอดระยะเวลา 17 ปี ของการดำเนินงาน ทสภ. ไม่หยุดนิ่งการพัฒนาในทุกด้าน เพื่อสามารถทำหน้าที่ ท่าอากาศยานหลักตอบสนองการเติบโตของอุตสาหกรรมการบิน ภาคการท่องเที่ยว การค้าและการลงทุน ตลอดจน ร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศหลังการระบาดของโควิด – 19 ในการก้าวสู่ปีที่ 18 ที่จะมาถึงนี้ ทสภ.ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่เป็นประตูต้อนรับผู้เดินทางจากทั่วโลกด้วยรอยยิ้ม ภายใต้มาตรฐานการบริการทุกด้านในระดับสากล เพื่อตอกย้ำและสานต่อปณิธานของ ทอท. ในการเป็นองค์กรหลักในการบริหารท่าอากาศยานของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก “ปลอดภัยคือมาตรฐาน บริการคือหัวใจ”

0 Comments
Share

Admin

Reply your comment

Your email address will not be published. Required fields are marked*