ข่าวประชาสัมพันธ์

อาการคันจุดซ่อนเร้น หากปล่อยไว้เสี่ยงติดเชื้อ

%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b8%e0%b8%94%e0%b8%8b%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%99-%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%81

อาการคันบริเวณจุดซ่อนเร้นหรือมีตกขาวปริมาณมาก มักก่อให้เกิดความรำคาญ มีกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ และเจ็บแสบขณะปัสสาวะ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคต่างๆ

สาเหตุของอาการคันจุดซ่อนเร้น

  • ติดเชื้อรา มีอาการคัน และตกขาวจับตัวเป็นก้อนสีขาว
  • ติดเชื้อแบคทีเรีย มีอาการคันอวัยวะเพศ แสบเวลาปัสสาวะ มีตกขาว และมีกลิ่นคาว
  • ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หูด หรือเริมที่อวัยวะเพศ หนองในแท้ หนองในเทียม

อาการคันจุดซ่อนเร้นแบบควรปรึกษาแพทย์

  • เจ็บและคันบริเวณจุดซ่อนเร้น
  • จุดซ่อนเร้นบวมแดง
  • มีตกขาวปริมาณมาก และสีตกขาวมีลักษณะผิดปกติ เช่น สีเหลือง สีเขียว มีเลือดปน
  • ปัสสาวะแสบร้อน ปัสสาวะขัด ปัสสาวะไม่สุด
  • เจ็บช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์

การวินิจฉัย

ควรวินิจฉัยอย่างละเอียดโดยสูตินรีเวช แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการซักประวัติ เช่น เคยมีประวัติการติดเชื้อรา หรือมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อนหรือไม่ และตรวจภายในเพื่อดูความผิดปกติ เก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งช่องคลอดเพื่อนำไปตรวจหาสาเหตุของอาการคัน

วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการคัน

  • ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่ชัดเจน จึงจะสามารถรักษาอย่างตรงจุด
  • ทานยาให้ครบตามคำแนะนำ ไม่ควรซื้อยาใช้เอง
  • หากต้องใช้ยาเหน็บควรล้างมือให้สะอาดก่อนทุกครั้ง
  • ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นด้วยน้ำอุ่นและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนต่อผิวแต่ไม่ควรล้างมากกว่า 1 ครั้ง/วัน เพราะอาจทำให้ช่องคลอดแห้ง
  • งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าอาการคันจะหายปกติ
  • เลือกใส่กางเกงชั้นหรือกางเกงชั้นในที่สวมสบายไม่รัด
  • ไม่เกาผิวหนังบริเวณจุดซ่อนเร้น เพราะอาจทำให้ระคายเคืองรุนแรง

หากมีอาการคันจุดซ่อนเร้นเพิ่มมากขึ้น ไม่ควรปล่อยไว้ รีบมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาต่อไป

โดยนพ.สมหมาย คุปต์นิรัติศัยกุล

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช

แผนกสูตินรีเวช โรงพยาบาลบางปะกอกสมุทรปราการ โทร. 0-2109-3222 ต่อ 10240-10241

0 Comments
Share

Admin

Reply your comment

Your email address will not be published. Required fields are marked*