“ดุลพินิจกำหนดโทษเด็กและเยาวชน” ชื่อนี้ เป็นชื่อ “การศึกษาอิสระ” หรือ IS หรือ Independent Study หรือ Baby Thesis ที่ผู้เขียนได้นำเสนอ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรปริญญานิติศาสตรมหาบัณฑิต ปีการศึกษา ๒๕๔๖
เหตุผลที่ศึกษาเรื่อง “ดุลพินิจกำหนดโทษเด็กและเยาวชน”
เนื่องจาก ขณะนั้น (ปี ๒๕๔๕) ผู้เขียนรับราชการเป็น “พนักงานอัยการ” สำนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ เห็นว่า เด็กและเยาวชนกระทำผิดเพิ่มมากขึ้น และนับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และมีพฤติการณ์ พฤติกรรมไม่แตกต่างจากผู้ใหญ่กระทำผิด เช่น ไปฆ่าเขาตาย หรือ ไปข่มขืนกระทำชำเรา รุมโทรมหญิง และยังพบว่า เด็กกลับมากระทำผิดซ้ำอีก หรือโทษที่กำหนดสำหรับเด็กและเยาวชนมันน้อยไป หรือเบาไปหรือไม่? เด็กจึงไม่กลัวการลงโทษ และศาลเยาวชนฯจะกำหนดโทษให้แก่เด็กและเยาวชนให้หนักกว่านี้ หรือจะลงโทษให้เหมือนผู้ใหญ่กระทำผิดเลยได้หรือไม่ เช่น ลงโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิตได้หรือไม่ ? แต่หากไม่ได้ เหตุใดจึงทำไม่ได้ ศาลเยาวชนฯ มีข้อห้าม หรือ มีข้อจำกัดดุลพินิจในการกำหนดโทษเด็กและเยาวชน หรือไม่ อย่างไร ?
มาปี ๒๕๖๖ ต่อเนื่องปี ๒๕๖๗ ปรากฏข่าว เด็กและเยาวชนกระทำผิดคดีอาญาที่รุนแรงและอุจฉกรรจ์เพิ่มมากขึ้น เช่น เด็ก ๑๔ ปีก่อเหตุกราดยิงที่ห้างพารากอน ล่าสุดเด็กและเยาวชนที่จังหวัดสระแก้ว ก่อเหตุร่วมกันฆ่าผู้อื่น ( ป้าบัวผัน หรือป้ากบ ) อย่างโหดเหี้ยม และยังมีคดีอาญาอื่น เช่น ข่มขืนกระทำชำเรา , วางเพลิงเผาทรัพย์ , ขว้างปาระเบิดควัน ฯลฯ
แสดงว่า ปัญหาเด็กและเยาวชนกระทำผิดโดยเฉพาะคดีอาญามีมานานแล้ว และทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่เพิ่งจะมีตอนนี้
ทุกครั้งที่มีข่าว “เด็กและเยาวชน” ก่อเหตุคดีอาญาที่รุนแรง สังคมก็จะถามหา
“การแก้กฎหมายเพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับโทษเหมือนกับผู้ใหญ่ที่กระทำผิด โดยการลดอายุของเด็กและเยาวชนให้น้อยลง เพื่อให้เด็กได้รับโทษเพิ่มมากขึ้น
ล่าสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชารวบรวมสถิติตัวเลขคดีที่เด็กและเยาวชนกระทำผิดอาญา เพื่อนำเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ศาล อัยการ หน่วยงานสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อพิจารณาและนำไปสู่การแก้กฎหมายต่อไป
ฉับพลัน ก็มี เอ็นจีโอ , นักสิทธิเด็กและสตรี ออกมาแสดงความคิดเห็น ไม่เห็นด้วยกับการแก้กฎหมายเพื่อลดอายุเด็กและเยาวชนลง เพื่อให้ไปรับโทษเหมือนผู้ใหญ่ที่กระทำผิดต่อกฎหมายอาญา โดยอ้างอิง อนุสนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ฯ , กฎแห่งกรุงปักกิ่ง ฯลฯ
จึงเป็นการ “มองคนละมุม” ระหว่าง “สังคมที่ถามหาความรับผิดชอบของเด็กและเยาวชนรวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็ก” กับ “นักสิทธิเด็กฯ”
ศาลเยาวชนและครอบครัว มีข้อจำกัดดุลพินิจในการกำหนดโทษเด็กและเยาวชนหรือไม่ ?
การพิจารณาคดีอาญาเด็กและเยาวชนกระทำผิดนั้น นอกจากจะพิจารณาตาม “โครงสร้างความรับผิดทางอาญา” ดังเช่นผู้ใหญ่กระทำผิดแล้ว ยังจะต้องพิจารณาถึง “พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓” ซึ่งเป็นกฎหมายโดยเฉพาะอีกด้วย เช่น
(๑) “เด็ก” หมายความว่า บุคคลอายุยังไม่เกินสิบห้าปีบริบูรณ์
“เยาวชน”หมายความว่า บุคคลอายุเกินสิบห้าปีบริบูรณ์แต่ยังไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์
(๒) การพิจารณาคดีอาญาที่เด็กหรือเยาวชนเป็นจําเลย ไม่ต้องดําเนินการ ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาโดยเคร่งครัด (มาตรา๑๑๔)
(๓) แม้จะได้ความว่า เด็กและเยาวชนกระทำผิดจริง แต่หากศาลเห็นว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่สมควรจะมีคําพิพากษา หรือบิดามารดาผู้ปกครองหรือบุคคลซึ่งจําเลยอาศัยอยู่ด้วยร้องขอ และเมื่อศาลสอบถามผู้เสียหายแล้ว ศาลอาจมีคําสั่ง
ให้ “ปล่อยตัวเด็กและเยาวชนชั่วคราว” (โดยยังไม่ต้องมีคำพิพากษา) โดยไม่มีประกัน หรือ มีประกันหรือมีประกันและหลักประกันด้วยก็ได้ แต่ต้องกําหนดเงื่อนไข ฯ เช่นให้จําเลยรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติหรือเจ้าพนักงานอื่นเพื่อเข้ารับการแก้ไขบําบัดฟื้นฟูภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด แต่ต้องไม่เกินกว่าจําเลยนั้นมีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์
แต่ถ้าศาลเห็นว่า ยังไม่สมควร”ปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีเงื่อนไข” ศาลจะส่งตัวจําเลยไปยัง สถานพินิจ หรือ สถานที่อื่นฯ ก็ได้ แต่ต้องไม่เกินกว่าจําเลยนั้นมีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ ( มาตรา ๑๓๒ )
(๔) ถ้า จําเลย สามารถ ปฏิบัติได้ตามเงื่อนไข และ ภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด ก็ให้ศาล “สั่งยุติคดี” โดยไม่ต้องมีคําพิพากษาเกี่ยวกับการกระทําความผิดของจําเลย
เว้นแต่ คําสั่งเกี่ยวกับของกลาง และ ให้ถือว่าสิทธินําคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับ
แต่ถ้าจําเลยผิดเงื่อนไข ตามมาตรา๑๓๒ ก็ให้ศาล “ยกคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาต่อไป” ( มาตรา๑๓๓)
(๕) แม้ศาลจะได้มีคําพิพากษา หรือคําสั่งให้ลงโทษ หรือใช้วิธีการสําหรับเด็กและเยาวชนและ ไปแล้ว แต่ต่อมา ปรากฏว่าข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ ตามมาตรา๑๑๕ หรือ มาตรา๑๑๙ ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และถ้าศาลเห็นสมควรก็ให้มีอํานาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงคําพิพากษาหรือคําสั่งเกี่ยวกับการลงโทษหรือวิธีการสําหรับเด็กและเยาวชนได้(มาตรา๑๓๗)
“กฎแห่งกรุงปักกิ่ง ค.ศ.๑๙๘๕” และ “อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.๑๙๘๙” ที่มาของหลัก “มุ่งแก้ไข มากกว่าการลงโทษ”
“กฎแห่งกรุงปักกิ่ง ค.ศ.๑๙๘๕” และ “อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.๑๙๘๙”ถือเป็นมาตรฐานขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการบริหารงานยุติธรรมสำหรับเด็ก โดยมีหลักการสำคัญ คือ คุ้มครองปกป้องสิทธิเด็กทั้งการถูกเอารัดเอาเปรียบทางเพศ การถูกทำร้ายร่างกาย การปกป้องคุ้มครองจากการทรมาน หรือการลงโทษ หรือการกระทำที่โหดร้าย และเป็น “หน้าที่”ของรัฐที่จะต้องดำเนินมาตรการที่เหมาะสมต่างๆ เพื่อคุ้มครองสิทธิเด็กเพื่อให้บังเกิดผลตามอนุสัญญาฯดังกล่าว ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันแก่อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.๑๙๘๙ จึงเป็นที่มาที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเด็กในประเทศไทย “มุ่งคุ้มครองเด็กผู้กระทำผิด” ( โดยลืมคุ้มครองผู้เสียหายที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำของเด็กและเยาวชน)
ทางออกของเรื่องนี้ คือ “ การรักษาดุลยภาคระหว่าง การคุ้มครองเด็ก กับ การแก้ไขเด็ก”
เมื่อปี ๒๕๔๕ ผู้เขียนได้นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา (ข้อจำกัดของศาลในการใช้) “ ดุลพินิจในการกำหนดโทษเด็กและเยาวชน” (ศาลจะลงโทษเด็กที่กระทำผิดโหดร้าย โดยใช้มาตรการและบทลงโทษแบบผู้ใหญ่ได้หรือไม่)
และในขณะเดียวกัน “การลงโทษเด็ก จะต้องแก้ปัญหาเด็กได้ด้วย” ดังนี้
(๑) เสนอให้นำเอา “กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์” มาใช้กับการดำเนินคดีเด็กและเยาวชน โดยเปิดโอกาสให้ “เด็ก และเยาวชน”สามารถกำหนดโทษด้วยตนเอง โดยเริ่มจากการ “รู้สำนึกถึงการกระทำผิด” รับทราบความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของผู้เสียหาย และ ต้องมีการชดเชยเยียวยาผลร้ายแก่ผู้เสียหาย หากเด็กรู้สำนึก ผู้เสียหายให้อภัย จากนั้นครอบครัวและชุมชนต้องเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหา ร่วมกำหนดแนวทางแก้ไข ในลักษณะสามประสาน คือ “เด็กรู้สึกผิด ผู้เสียหายให้อภัย ครอบครัวชุมชนเข้ามาควบคุมกำหนดเงื่อนไขในการแก้ไขปรับปรุงพฤติกรรมและความประพฤติ” มีการเยียวยา และมีการ “สมานฉันท์” ความรู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมของผู้เสียหายก็จะลดน้อยลง เกิดการอภัย เกิดการแก้ไข เกิดการร่วมมือของครอบครัว ชุมชนในการมาควบคุมดูแลไม่ให้เด็กและเยาวชนกลับไปกระทำผิดอีก เมื่อใช้หลัก “กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์”แล้ว ศาลก็ไม่ถูกจำกัดการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษ
(๒) เสนอให้ออกกฎหมาย “พระราชบัญญัติฟื้นฟูเด็กและเยาวชน พ.ศ………” โดยให้มี คณะกรรมการฟื้นฟูเด็กและเยาวชนกลาง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตลอดจนนโยบายในการฟื้นฟูเด็กและเยานผู้กระทำผิด และมีคณะอนุกรรมการฟื้นฟูเด็กและเยาวชนจังหวัด โดยให้มีอำนาจและหน้าที่พิจารณาก่อนที่คดีจะเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาลเยาวชนฯ
โดยคดีที่มีอัตราโทษ จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท (ยกเว้นคดียาเสพติด) ให้พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องให้ศาลเยาวชนฯ พิจารณาและมีคำสั่งให้ส่ง หรือไม่ส่งเด็กไปฟื้นฟู โดยการฟื้นฟูนี้ หากเด็กอยู่ในระหว่างการศึกษาไม่ให้ถือว่าขาดเรียน โดยการฟื้นฟูจะมีการอบรมทั้งทางโลก และทางธรรม อาจนำตัวเด็กไป บำเพ็ญประโยชน์ที่โรงพยาบาลเพื่อให้เด็กเห็นถึงความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมาน หากไปทำร้ายเขา การส่งเด็กและเยาวชนไปฝึกจิต ฝึกสมาธิ และการส่งตัวเด็กและเยาวชนไปดูงานราชทัณฑ์ หากต้องถูกควบคุมตัว ถูกขัง ถูกจำกัดอิสรภาพจะมีความรู้สึกเช่นใด ทั้งนี้เป็น “แนวทางแก้ไขเชิงจิตวิทยาควบคู่ไปกับแนวทางกฎหมาย”
หากเด็กและเยาวชนนั้นสามารถเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูได้สำเร็จตามเงื่อนไขที่กำหนด ก็ให้ถือว่า เด็กและเยาวชนนั้น ไม่ได้กระทำผิดและพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดไป
แต่ถ้าไม่ผ่านการประเมิน ก็ให้นำเด็กและเยาวชนนั้น เข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีอาญาต่อไป
ผู้เขียนได้นำเสนอหลักการนี้ไว้ในปี ๒๕๔๕ แต่ไม่น่าเชื่อว่า ต่อมา พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยานและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๘๖ มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา (แผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูโดยผู้อำนวยการสถานพินิจ) และมาตรา ๙๐ (แผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูโดยศาลสั่ง) มีหลักการคล้ายกับ แผนฟื้นฟูเด็กและเยาวชน ที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้ในปี ๒๕๔๕
(๓) ผู้เขียนเสนอให้นำบทบัญญัติ แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนฯ พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๖๑ วรรคสอง มาบังคับใช้อย่างจริงจัง
“ในกรณีเด็กและเยาวชนกระทำผิดที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่า ๕ ปีขึ้นไป หากศาลเยาวชนฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า มีเหตุอันควรโอนคดีไปยังศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดา ก็ให้ศาลเยาวชน โอนคดีไปยังศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดาได้
แต่หากศาลเยาวชน เห็นว่ายังไม่สมควร ก็ให้ศาลเยาวชนพิจารณาไปตามอำนาจหน้าที่
และต่อมา พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๙๗ วรรคสอง ก็ได้บัญญัติในหลักการเดียวกัน คือ
“คดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัว ถ้าศาลเยาวชนฯพิจารณาโดยคำนึงถึงสภาพร่างกาย สภาพจิต สติปัญญาและนิสัยแล้ว เห็นว่า ในขณะกระทำผิดหรือในระหว่างการพิจารณา เด็ก หรือเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำผิดมีภาพเช่นเดียวกับบุคคลที่มีอายุตั้งแต่สิบแปดปีบริบูรณ์ขึ้นไป ให้มีอำนาจโอนคดีไปพิจารณาในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดาได้ ”
แสดงว่า หลักการโอนคดีเด็กและเยาวชนไปพิจารณาที่ศาลคดีธรรมดา หรือศาลผู้ใหญ่มีมานานแล้ว แต่กลับไม่ค่อยได้นำหลักการโอนคดีไปใช้กับ เด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมก่อเหตุด้วยความรุนแรง โดยยังคงยึดติดกับ “ความเป็นเด็ก และเยาวชน”
นับวันความรุนแรงของการกระทำผิดของเด็กและเยาวชนยิ่งจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่แพ้หรืออาจจะมากกว่าผู้ใหญ่กระทำผิดเสียด้วยซ้ำ แต่บทกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดของเด็กและเยาวชนจะเป็นไปในแนวทาง “มุ่งแก้ไขมากกว่าการลงโทษ” จึงเกิดการไม่เข็ดหลาบ และไม่หลาบจำ เด็กทำผิด แต่กลับไม่ได้รับการลงโทษเท่าที่ควร
แท้จริงแล้ว…ศาลถูกจำกัดดุลพินิจในการกำหนดโทษสำหรับเด็กและเยาวชนจริงหรือ ? ผู้อ่านคงได้รับคำตอบแล้ว
การรักษาดุลภาคระหว่าง “การลงโทษเด็ก” และ “การแก้ไขเด็ก” และ “การได้รับการเยียวยาของผู้เสียหาย” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เขียนเห็นว่าจะเป็นทางออกสำหรับปัญหาเรื่องนี้
นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ
(อดีต) รองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร